01 สิงหาคม 2558 ศาลปกครองกลาง ได้มีคำพิพากษา CAT และ AIS GSM 1800 (DPC) ให้"ยกคำร้อง" ของแคท เนื่องจากเนื่องจากศาลเห็นว่า คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ในข้อพิพาทดังกล่าว เป็นคำชี้ขาดข้อพิพาทที่เป็นไปตามกฎหมายไทย
ประเด็นหลัก
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" ได้รับแจ้งจากศาลปกครองกลางว่า เมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2558 ศาลปกครองกลาง ได้มีคำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ 1259/2554 คดีหมายเลขแดงที่ 1789/2558 ระหว่างผู้ร้องในคดีคือ บมจ. กสท โทรคมนาคม (แคท) กับ บริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด (ดีพีซี) ผู้คัดค้าน ในกรณีที่แคทขอให้ศาลปกครองเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 3/2551 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 20/2554 ที่วินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทเกี่ยวกับการชำระผลประโยชน์ตอบแทนรายปีตามสัญญาอนุญาตให้ดำเนินการให้บริการวิทยุโทรคมนาคมระบบเซลลูล่า
โดยศาลปกครองมีคำพิพากษาให้"ยกคำร้อง" ของแคท เนื่องจากเนื่องจากศาลเห็นว่า คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ในข้อพิพาทดังกล่าว เป็นคำชี้ขาดข้อพิพาทที่เป็นไปตามกฎหมายไทยและตามข้อสัญญา ซึ่งอยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการและไม่เกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาท ตามมาตรา 40 วรรคสาม (1) (ง) แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 อีกทั้งคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในคดีนี้ก็เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องเกี่ยวกับการชำระเงินผลประโยชน์ตอบแทนรายปีตามสัญญาที่พิพาทซึ่งไม่ปรากฎว่ามีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดห้ามมิให้ข้อพิพาทตามสัญญาดังกล่าวระงับโดยคณะอนุญาโตตุลาการ
แต่ทางคณะอนุญาโตตุลาการได้มีคำวินิจฉัยเมื่อ 1 มี.ค. 2554 โดยสรุปว่า การดำเนินการเกี่ยวกับภาษีสรรพสามิตของดีพีซีตามมติ ครม. การที่บริษัทได้นำส่งเป็นค่าผลประโยชน์ตอบแทนแก่แคท และแคทยังได้คืนหนังสือค้ำประกันให้กับดีพีซี จึงถือได้ว่าแคทยอมระงับการรับชำระส่วนแบ่งรายได้เต็มจำนวนตามข้อสัญญาเดิม ตามนัยของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 การชำระหนี้ด้วยวิธีดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ส่วนยกเลิกมติ ครม. 11 ก.พ. 2546 ที่กำหนดแนวทางหักภาษีสรรพสามิตนั้น มีผลเพียงยกเลิกการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิต หาได้มีผลย้อนหลังต่อการปฏิบัติที่กระทำมาก่อนไม่ ดังนั้นการที่แคทจะเรียกผลตอบแทนส่วนที่หักภาษีสรรพสามิตอีกจะทำให้ไม่เป็นธรรมแค่ดีพีซี เพราะการชำระหนี้เดิมเสร็จสิ้นและระงับไปแล้ว ผู้ร้องไม่อาจกลับมาเรียกส่วนที่อ้างว่าขาดไปได้อีก
____________________________
แคทวืด! ศาลปกครองยกคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดอนุญาโตเรียกภาษีสรรพสามิต "ดีพีซี"
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" ได้รับแจ้งจากศาลปกครองกลางว่า เมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2558 ศาลปกครองกลาง ได้มีคำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ 1259/2554 คดีหมายเลขแดงที่ 1789/2558 ระหว่างผู้ร้องในคดีคือ บมจ. กสท โทรคมนาคม (แคท) กับ บริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด (ดีพีซี) ผู้คัดค้าน ในกรณีที่แคทขอให้ศาลปกครองเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 3/2551 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 20/2554 ที่วินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทเกี่ยวกับการชำระผลประโยชน์ตอบแทนรายปีตามสัญญาอนุญาตให้ดำเนินการให้บริการวิทยุโทรคมนาคมระบบเซลลูล่า
โดยศาลปกครองมีคำพิพากษาให้"ยกคำร้อง" ของแคท เนื่องจากเนื่องจากศาลเห็นว่า คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ในข้อพิพาทดังกล่าว เป็นคำชี้ขาดข้อพิพาทที่เป็นไปตามกฎหมายไทยและตามข้อสัญญา ซึ่งอยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการและไม่เกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาท ตามมาตรา 40 วรรคสาม (1) (ง) แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 อีกทั้งคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในคดีนี้ก็เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องเกี่ยวกับการชำระเงินผลประโยชน์ตอบแทนรายปีตามสัญญาที่พิพาทซึ่งไม่ปรากฎว่ามีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดห้ามมิให้ข้อพิพาทตามสัญญาดังกล่าวระงับโดยคณะอนุญาโตตุลาการ
ประกอบกับคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกล่าวก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาระหว่างคู่สัญญากรณีจึงยังถือไม่ได้ว่ามีกรณีที่ปรากฎต่อศาลว่า การยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในคดีนี้ จะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามมาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข) แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 ดังนั้น คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 3/2551 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 20/2554 ลงวันที่ 1 มีนาคม 2554 จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่ศาลจะมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำชี้ขาดดังกล่าวได้
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า ข้อพิพาทดังกล่าว สืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรี 11 ก.พ. 2546 เห็นชอบแนวทางการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากบริการโทรคมนาคม โดยให้หักค่าภาษีสรรพสามิตออกจากส่วนแบ่งรายได้ที่ผู้รับสัมปทานจะต้องนำส่งให้เจ้าของสัมปทาน จนกระทั่งเมื่อ 26 ก.พ. 2550 ได้มีประกาศกระทรวงการคลัง ลดอัตราภาษีสรรพาสามิตกิจการโทรคมนาคม เหลือ 0% และทางคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้ตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้นกับ บมจ.ทีโอที และ บมจ. กสทฯ จากมติ ครม. 11 ก.พ. 2546 พร้อมทั้งแคทได้มีหนังสือแจ้งให้ดีพีซี นำส่งผลประโยชน์ที่ขาดหายไปจากมติ ครม. ดังกล่าว เป็นเงิน 2,216 ล้านบาท และเมื่อทางดีพีซีไม่ชำระ จึงได้ยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ ลงวันที่ 9 ม.ค. 2551 ขอให้ดีพีซีชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
แต่ทางคณะอนุญาโตตุลาการได้มีคำวินิจฉัยเมื่อ 1 มี.ค. 2554 โดยสรุปว่า การดำเนินการเกี่ยวกับภาษีสรรพสามิตของดีพีซีตามมติ ครม. การที่บริษัทได้นำส่งเป็นค่าผลประโยชน์ตอบแทนแก่แคท และแคทยังได้คืนหนังสือค้ำประกันให้กับดีพีซี จึงถือได้ว่าแคทยอมระงับการรับชำระส่วนแบ่งรายได้เต็มจำนวนตามข้อสัญญาเดิม ตามนัยของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 การชำระหนี้ด้วยวิธีดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ส่วนยกเลิกมติ ครม. 11 ก.พ. 2546 ที่กำหนดแนวทางหักภาษีสรรพสามิตนั้น มีผลเพียงยกเลิกการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิต หาได้มีผลย้อนหลังต่อการปฏิบัติที่กระทำมาก่อนไม่ ดังนั้นการที่แคทจะเรียกผลตอบแทนส่วนที่หักภาษีสรรพสามิตอีกจะทำให้ไม่เป็นธรรมแค่ดีพีซี เพราะการชำระหนี้เดิมเสร็จสิ้นและระงับไปแล้ว ผู้ร้องไม่อาจกลับมาเรียกส่วนที่อ้างว่าขาดไปได้อีก
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1438076889
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" ได้รับแจ้งจากศาลปกครองกลางว่า เมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2558 ศาลปกครองกลาง ได้มีคำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ 1259/2554 คดีหมายเลขแดงที่ 1789/2558 ระหว่างผู้ร้องในคดีคือ บมจ. กสท โทรคมนาคม (แคท) กับ บริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด (ดีพีซี) ผู้คัดค้าน ในกรณีที่แคทขอให้ศาลปกครองเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 3/2551 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 20/2554 ที่วินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทเกี่ยวกับการชำระผลประโยชน์ตอบแทนรายปีตามสัญญาอนุญาตให้ดำเนินการให้บริการวิทยุโทรคมนาคมระบบเซลลูล่า
โดยศาลปกครองมีคำพิพากษาให้"ยกคำร้อง" ของแคท เนื่องจากเนื่องจากศาลเห็นว่า คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ในข้อพิพาทดังกล่าว เป็นคำชี้ขาดข้อพิพาทที่เป็นไปตามกฎหมายไทยและตามข้อสัญญา ซึ่งอยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการและไม่เกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาท ตามมาตรา 40 วรรคสาม (1) (ง) แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 อีกทั้งคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในคดีนี้ก็เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องเกี่ยวกับการชำระเงินผลประโยชน์ตอบแทนรายปีตามสัญญาที่พิพาทซึ่งไม่ปรากฎว่ามีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดห้ามมิให้ข้อพิพาทตามสัญญาดังกล่าวระงับโดยคณะอนุญาโตตุลาการ
แต่ทางคณะอนุญาโตตุลาการได้มีคำวินิจฉัยเมื่อ 1 มี.ค. 2554 โดยสรุปว่า การดำเนินการเกี่ยวกับภาษีสรรพสามิตของดีพีซีตามมติ ครม. การที่บริษัทได้นำส่งเป็นค่าผลประโยชน์ตอบแทนแก่แคท และแคทยังได้คืนหนังสือค้ำประกันให้กับดีพีซี จึงถือได้ว่าแคทยอมระงับการรับชำระส่วนแบ่งรายได้เต็มจำนวนตามข้อสัญญาเดิม ตามนัยของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 การชำระหนี้ด้วยวิธีดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ส่วนยกเลิกมติ ครม. 11 ก.พ. 2546 ที่กำหนดแนวทางหักภาษีสรรพสามิตนั้น มีผลเพียงยกเลิกการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิต หาได้มีผลย้อนหลังต่อการปฏิบัติที่กระทำมาก่อนไม่ ดังนั้นการที่แคทจะเรียกผลตอบแทนส่วนที่หักภาษีสรรพสามิตอีกจะทำให้ไม่เป็นธรรมแค่ดีพีซี เพราะการชำระหนี้เดิมเสร็จสิ้นและระงับไปแล้ว ผู้ร้องไม่อาจกลับมาเรียกส่วนที่อ้างว่าขาดไปได้อีก
____________________________
แคทวืด! ศาลปกครองยกคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดอนุญาโตเรียกภาษีสรรพสามิต "ดีพีซี"
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" ได้รับแจ้งจากศาลปกครองกลางว่า เมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2558 ศาลปกครองกลาง ได้มีคำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ 1259/2554 คดีหมายเลขแดงที่ 1789/2558 ระหว่างผู้ร้องในคดีคือ บมจ. กสท โทรคมนาคม (แคท) กับ บริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด (ดีพีซี) ผู้คัดค้าน ในกรณีที่แคทขอให้ศาลปกครองเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 3/2551 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 20/2554 ที่วินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทเกี่ยวกับการชำระผลประโยชน์ตอบแทนรายปีตามสัญญาอนุญาตให้ดำเนินการให้บริการวิทยุโทรคมนาคมระบบเซลลูล่า
โดยศาลปกครองมีคำพิพากษาให้"ยกคำร้อง" ของแคท เนื่องจากเนื่องจากศาลเห็นว่า คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ในข้อพิพาทดังกล่าว เป็นคำชี้ขาดข้อพิพาทที่เป็นไปตามกฎหมายไทยและตามข้อสัญญา ซึ่งอยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการและไม่เกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาท ตามมาตรา 40 วรรคสาม (1) (ง) แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 อีกทั้งคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในคดีนี้ก็เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องเกี่ยวกับการชำระเงินผลประโยชน์ตอบแทนรายปีตามสัญญาที่พิพาทซึ่งไม่ปรากฎว่ามีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดห้ามมิให้ข้อพิพาทตามสัญญาดังกล่าวระงับโดยคณะอนุญาโตตุลาการ
ประกอบกับคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกล่าวก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาระหว่างคู่สัญญากรณีจึงยังถือไม่ได้ว่ามีกรณีที่ปรากฎต่อศาลว่า การยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในคดีนี้ จะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามมาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข) แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 ดังนั้น คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 3/2551 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 20/2554 ลงวันที่ 1 มีนาคม 2554 จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่ศาลจะมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำชี้ขาดดังกล่าวได้
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า ข้อพิพาทดังกล่าว สืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรี 11 ก.พ. 2546 เห็นชอบแนวทางการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากบริการโทรคมนาคม โดยให้หักค่าภาษีสรรพสามิตออกจากส่วนแบ่งรายได้ที่ผู้รับสัมปทานจะต้องนำส่งให้เจ้าของสัมปทาน จนกระทั่งเมื่อ 26 ก.พ. 2550 ได้มีประกาศกระทรวงการคลัง ลดอัตราภาษีสรรพาสามิตกิจการโทรคมนาคม เหลือ 0% และทางคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้ตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้นกับ บมจ.ทีโอที และ บมจ. กสทฯ จากมติ ครม. 11 ก.พ. 2546 พร้อมทั้งแคทได้มีหนังสือแจ้งให้ดีพีซี นำส่งผลประโยชน์ที่ขาดหายไปจากมติ ครม. ดังกล่าว เป็นเงิน 2,216 ล้านบาท และเมื่อทางดีพีซีไม่ชำระ จึงได้ยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ ลงวันที่ 9 ม.ค. 2551 ขอให้ดีพีซีชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
แต่ทางคณะอนุญาโตตุลาการได้มีคำวินิจฉัยเมื่อ 1 มี.ค. 2554 โดยสรุปว่า การดำเนินการเกี่ยวกับภาษีสรรพสามิตของดีพีซีตามมติ ครม. การที่บริษัทได้นำส่งเป็นค่าผลประโยชน์ตอบแทนแก่แคท และแคทยังได้คืนหนังสือค้ำประกันให้กับดีพีซี จึงถือได้ว่าแคทยอมระงับการรับชำระส่วนแบ่งรายได้เต็มจำนวนตามข้อสัญญาเดิม ตามนัยของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 การชำระหนี้ด้วยวิธีดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ส่วนยกเลิกมติ ครม. 11 ก.พ. 2546 ที่กำหนดแนวทางหักภาษีสรรพสามิตนั้น มีผลเพียงยกเลิกการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิต หาได้มีผลย้อนหลังต่อการปฏิบัติที่กระทำมาก่อนไม่ ดังนั้นการที่แคทจะเรียกผลตอบแทนส่วนที่หักภาษีสรรพสามิตอีกจะทำให้ไม่เป็นธรรมแค่ดีพีซี เพราะการชำระหนี้เดิมเสร็จสิ้นและระงับไปแล้ว ผู้ร้องไม่อาจกลับมาเรียกส่วนที่อ้างว่าขาดไปได้อีก
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1438076889
ไม่มีความคิดเห็น: