Header Ads

Screen-Shot-2561-02-24-at-11.53.29-PM.png
Breaking News
recent

17 กรกฎาคม 2558 PPTV ระบุ ไทยทีวีถือว่าเป็นรายแรกที่กล้ารุกขึ้นมาคืนใบอนุญาต เพื่อลดการขาดทุน จากเหตุการณ์นี้ จะมีช่องไหนที่จะทนพิษบาดแผลไม่ไหว แล้วลาจอทีวีดิจิทัลไปอีก ต้องติดตามต่อไป

ประเด็นหลัก



ขณะที่ "เขมทัตต์ พลเดช" กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด ผู้บริหารช่อง "พีพีทีวี" ในฐานะอุปนายกสมาพันธ์สมาคมดิจิทัลทีวี ให้มุมมองว่า จากกรณีการคืนใบอนุญาตประกอบกิจการทีวีดิจิทัลของบริษัท ไทยทีวี จำกัด ถือว่าเป็นสิทธิ์ที่ไทยทีวีสามารถดำเนินการได้ เช่นเดียวกับผู้ประกอบการอีกหลายรายที่มีแนวโน้มดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ไทยทีวีถือว่าเป็นรายแรกที่กล้ารุกขึ้นมาคืนใบอนุญาต เพื่อลดการขาดทุน

เรื่องนี้ ไม่ว่าไทยทีวีจะทำต่อหรือไม่ กสทช.ก็ควรเข้ามาหาทางออกร่วมกัน เพื่อไม่ให้เกิดกรณีดังกล่าวขึ้นมาอีก และทำให้ธุรกิจทีวีดิจิทัลสามารถเดินหน้าต่อไปได้

จากเหตุการณ์นี้ จะมีช่องไหนที่จะทนพิษบาดแผลไม่ไหว แล้วลาจอทีวีดิจิทัลไปอีก ต้องติดตามต่อไป









____________________________________





"เจ๊ติ๋ม ทีวีพูล" เอฟเฟ็กต์ หวั่นลัทธิเอาอย่าง...ลามช่องอื่น


ได้ข้อสรุปชัดเจนแล้วว่า บริษัท ไทยทีวี จำกัด ภายใต้การนำทัพ "พันธุ์ทิพา ศกุณต์ไชย" หรือ "เจ๊ติ๋ม ทีวีพูล" ได้ประกาศยอมยกธงขาวให้กับธุรกิจ "ทีวีดิจิทัล" อย่างเป็นทางการ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งออกแรงปลุกปั้นมาได้เพียงปีเดียว แม้เธอจะไม่ยอมจ่ายเงินค่าประมูลที่เหลืออยู่อีกกว่า 1,634 ล้าน จากที่จ่ายไปแล้วกว่า 341 ล้านบาท ซึ่งตามเงื่อนไข กสทช.ก็จะยึดแบงก์การันตี จากนั้นแบงก์ก็คงมาไล่บี้จากแม่ทัพใหญ่ไทยทีวีอยู่ดี

เท่านั้นยังไม่พอเจ้าแม่บันเทิงผู้มากคอนเน็กชั่นยังได้ทิ้งปริศนาให้ใคร ๆ ได้ติดตามกันต่อไปว่า หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น และทิศทางธุรกิจไทยทีวีจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร?



โดยกำหนดการก่อนหน้านี้ "เจ๊ติ๋ม ทีวีพูล" เตรียมออกมาชี้แจงผ่านรายการ สน.17 ช่องไทยทีวี วันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา สุดท้ายก็ไร้เงาเจ้าแม่บันเทิงคนดัง

ปล่อยให้ "ศุภิญโญ มั่นรู้ธรรม" ผู้อำนวยการช่องไทยทีวี บริษัท ไทยทีวี จำกัด หรือชื่อเดิม "ภิญโญ รู้ธรรม" มาปรากฏตัวในฐานะตัวแทนของบริษัท พร้อมทีมกฎหมายท่ามกลางกองทัพนักข่าวจำนวนมากที่ยังคงถามหา "เจ๊ติ๋ม"

"ศุภิญโญ" เริ่มการชี้แจงว่า ไทยทีวีมีเจตนาชัดเจนว่าไม่ได้ต้องการให้ กสทช.เลื่อนเวลาชำระค่าประมูลทีวีดิจิทัลงวด 2 ออกไป แต่บริษัทขอยกเลิกใบอนุญาตประกอบกิจการทีวีดิจิทัลทั้ง 2 ช่อง ทำให้ช่องโลก้าและไทยทีวีจะจอดำในโครงข่ายทีวีดิจิทัล แต่ยังไม่มีกำหนดวัน-เวลาที่ชัดเจน ส่วนแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น เคเบิลทีวี ทีวีดาวเทียม เป็นต้น ยังรับชมได้

"ช่องไทยทีวี และโลก้าจะหายจากระบบทีวีดิจิทัลภายใน 15 วันนับจากนี้ แต่ระหว่างนี้ไทยทีวีก็ยังยืนยันว่าจะเดินหน้าเจรจากับ กสทช.อีกครั้ง เพื่อสร้างความชัดเจนให้เกิดขึ้น"

พร้อมกับย้ำด้วยว่า "ณ ตอนนี้บริษัทตัดสินใจชัดเจนว่าจะไม่ออกอากาศทีวีดิจิทัลทั้ง 2 ช่อง คือ ไทยทีวี และโลก้า ขณะที่อนาคตจะเดินหน้าต่อหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง แต่วันนี้ขอละธุรกิจทีวีดิจิทัลไว้ก่อน เมื่อไม่สามารถเป็นเจ้าของสถานีทีวีดิจิทัลได้ ก็จะขอเป็นเจ้าของสถานีทีวีดาวเทียม และผู้ผลิตรายการ-ข่าวบันเทิงให้แก่ผู้ประกอบการทุกช่อง"

เท่ากับว่าสารที่ถูกส่งมาจาก "เจ๊ติ๋ม" ครั้งนี้ชัดเจนว่า จะหวนคืนธุรกิจทีวีดาวเทียม และผู้ผลิตรายการบันเทิงอย่างเต็มตัว หลังจากทิ้งทั้ง 2 ธุรกิจนี้ไปเมื่อเดือนมีนาคมปี 2557 เพื่อเททรัพยากรทั้งหมดให้แก่ธุรกิจทีวีดิจิทัล

ส่วนละครที่ผลิตไปแล้วอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะขายให้แก่ช่องอื่น หรือจะออกอากาศบนช่องทีวีดาวเทียมของตัวเอง แต่ยังให้รายละเอียดที่ชัดเจนไม่ได้ ขณะที่ความร่วมมือระหว่างช่องโลก้ากับเอ็มวีทีวียังคงต้องดำเนินต่อ

ผู้อำนวยการช่องไทยทีวีบอกว่า หลังจากดำเนินธุรกิจทีวีดิจิทัลมา 1 ปี ขาดทุนไป 320 ล้านบาท จากการผลิตคอนเทนต์และค่าเช่าโครงข่าย

เชื่อว่าหลังจากยุติบทบาทบนธุรกิจทีวีดิจิทัลจะทำให้ผลประกอบการโดยรวมของบริษัทดีขึ้น เพราะค่าใช้จ่ายสำหรับทีวีดิจิทัลเฉลี่ย 40 ล้านบาทต่อเดือนจะหายไป

"ธุรกิจทีวีดิจิทัลฉุดกำไรของบริษัท จะดำเนินธุรกิจนี้ต่อไปก็ยังมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ขณะที่แผนการนำไทยทีวีเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯยังคงมีอยู่ คาดว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2559 จะเริ่มต้น และกลางปี 2559 ทุกอย่างน่าจะเรียบร้อยตามแผนที่วางไว้"

เช่นเดียวกับ "โดม เจริญยศ" เจ้าหน้าที่ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท ไทยทีวี จำกัดกล่าวว่า บริษัทเตรียมเปิดช่องทีวีดาวเทียม 3 ช่อง เบื้องต้นจะนำช่องไทยทีวีซึ่งปัจจุบันออกอากาศระบบทีวีดิจิทัลไปออกอากาศในระบบทีวีดาวเทียมทันที ส่วนอีก 2 ช่องอยู่ระหว่างดำเนินการ หนึ่งในจำนวนนั้นคือการเตรียมนำช่องโลก้าไปออกอากาศบนแพลตฟอร์มดาวเทียมด้วย ภายใต้งบฯลงทุนรวม 100 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน กรณีที่หลายฝ่ายตั้งคำถามว่า หากไทยทีวีถูกเพิกถอนใบอนุญาต ไม่ว่าจะจากกรณีไม่ชำระค่าใบอนุญาตทีวีดิจิทัลตามกำหนด หรือภายใน 15 วัน หลังครบกำหนดเมื่อ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา หรือกรณียกเลิกใบประกอบการกิจการทีวีดิจิทัลก่อนที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ (กสท.) จะเห็นชอบให้ดำเนินการไทยทีวีจะถูกขึ้นบัญชีดำเพราะขาดคุณสมบัติ ทำให้ไม่สามารถขอใบอนุญาตประกอบกิจการวิทยุและโทรทัศน์ประเภทอื่น ๆ รวมถึงการขอใบอนุญาตประกอบกิจการช่องทีวีดาวเทียมด้วย

ประเด็นนี้ "สุชาติ ชมกุล" ที่ปรึกษาทนายความ บริษัทไทยทีวียืนยันว่า จะสามารถออกอากาศบนแพลตฟอร์มทีวีดาวเทียมได้ และมีใบอนุญาตประกอบกิจการช่องทีวีดาวเทียมแล้ว แต่ยังให้รายละเอียดอื่น ๆ ไม่ได้ ขอตัดสินใจร่วมกับผู้บริหารอีกครั้ง

"ศุภิญโญ" บอกว่า วันที่ "เจ๊ติ๋ม" ตัดสินใจเข้าร่วมประมูลทีวีดิจิทัล เป็นจังหวะที่เหมาะสม และแผนการดำเนินธุรกิจของทีวีดิจิทัลถูกวางไว้แล้ว แต่เมื่อลงสนามจริง กสทช.ไม่ได้ดำเนินการตามแผนแม่บทที่วางไว้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ 1 ปีที่ออกอากาศขาดทุนไป 320 ล้านบาท ทำให้บริษัทกลับมาพิจารณาอีกครั้งว่า ไม่ควรเดินต่อ...แต่ควรมุ่งไปที่ธุรกิจอื่น ๆ มากกว่า



เมื่อเกมนี้ "เจ๊ติ๋ม ทีวีพูล" เลือกแล้วที่จะจบ...แต่ก็เจ็บไม่น้อยในการยุติบทบาทของการเป็นเจ้าของช่องทีวีดิจิทัล แล้วกลับไปทำในสิ่งที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ แต่ปัญหาข้อขัดแย้งระหว่างไทยทีวีกับ กสทช.ก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป

ขณะที่ "เขมทัตต์ พลเดช" กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด ผู้บริหารช่อง "พีพีทีวี" ในฐานะอุปนายกสมาพันธ์สมาคมดิจิทัลทีวี ให้มุมมองว่า จากกรณีการคืนใบอนุญาตประกอบกิจการทีวีดิจิทัลของบริษัท ไทยทีวี จำกัด ถือว่าเป็นสิทธิ์ที่ไทยทีวีสามารถดำเนินการได้ เช่นเดียวกับผู้ประกอบการอีกหลายรายที่มีแนวโน้มดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ไทยทีวีถือว่าเป็นรายแรกที่กล้ารุกขึ้นมาคืนใบอนุญาต เพื่อลดการขาดทุน

เรื่องนี้ ไม่ว่าไทยทีวีจะทำต่อหรือไม่ กสทช.ก็ควรเข้ามาหาทางออกร่วมกัน เพื่อไม่ให้เกิดกรณีดังกล่าวขึ้นมาอีก และทำให้ธุรกิจทีวีดิจิทัลสามารถเดินหน้าต่อไปได้

จากเหตุการณ์นี้ จะมีช่องไหนที่จะทนพิษบาดแผลไม่ไหว แล้วลาจอทีวีดิจิทัลไปอีก ต้องติดตามต่อไป



http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1433143404

ไม่มีความคิดเห็น:

So Magawn ( รวบรวบประวัติศาสตร์โทรคมนาคมและการสือสารไทย ). ขับเคลื่อนโดย Blogger.