Header Ads

Screen-Shot-2561-02-24-at-11.53.29-PM.png
Breaking News
recent

05 กุมภาพันธ์ 2558 Samsung.วิชัย ระบุ มูลค่าตลาดโทรศัพท์มือถือรวมอยู่ที่ราว 1.03 แสนล้านบาท โดย Samsung จะมีสัดส่วนระหว่างสมาร์ทโฟนอยู่ที่ราว 14 ล้านเครื่อง และฟีเจอร์โฟนราว 3 ล้านเครื่อง

ประเด็นหลัก

       นายวิชัย พรพระตั้ง รองประธานธุรกิจองค์กรโทรคมนาคมและไอที บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวถึงภาพรวมตลาดโทรศัพท์มือถือในปีนี้ว่า จะมีสัดส่วนระหว่างสมาร์ทโฟนอยู่ที่ราว 14 ล้านเครื่อง และฟีเจอร์โฟนราว 3 ล้านเครื่อง ส่วนอัตราการเติบโตตลาดสมาร์ทโฟนในแง่ของจำนวนเครื่องจะเติบโตราว 10% และมูลค่าเติบโต 5% ด้วย
     
       “มูลค่าตลาดโทรศัพท์มือถือรวมอยู่ที่ราว 1.03 แสนล้านบาท และเชื่อว่าในปีนี้สัดส่วนตลาดหลักจะลงมาอยู่ในกลุ่มตลาดระดับกลางมากยิ่งขึ้น เพราะผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญต่อสมาร์ทโฟนที่มีประสิทธิภาพ และในขณะเดียวกัน ก็เน้นความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคามากยิ่งขึ้น”

       นายวิชัย กล่าวต่อว่า การมาของ Galaxy A ถือเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของซัมซุงในปีนี้ ที่จะสร้างจุดต่างให้แก่ตลาด จากสมาร์ทโฟนที่ใช้อะลูมิเนียมชิ้นเดียวในระดับราคาหมื่นต้นๆ จึงเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับจากตลาดค่อนข้างดี และถือเป็นหนึ่งใน Game Changer ที่สำคัญของซัมซุง
     
       “สมาร์ทโฟนหน้าจอใหญ่ขนาดมากกว่า 5 นิ้ว ยังคงเป็นตลาดที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน สัดส่วนของอุปกรณ์ที่รองรับ 3G ในตลาดก็มีสัดส่วนแล้วกว่า 67% ส่วนอุปกรณ์ไอทีสวมใส่ได้จะมีปริมาณเข้ามาในตลาดราว 1 ล้านเครื่อง”
   


_____________________________________________________












ซัมซุง ปรับไลน์สินค้ารับตลาดมือถือโต 10%



        ซัมซุง ปรับแนวรบสมาร์ทโฟนใหม่ลุยตลาดระดับกลางมากขึ้น หลังเห็นแนวโน้มเติบโตสูงที่สุด ด้วยการปรับไลน์ผลิตภัณฑ์แบ่งออกเป็น 5 ซีรีส์ ครอบคลุมตลาดระดับบน กลาง และล่าง เชื่อปีนี้ตลาดเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% มูลค่าตลาดทะลุ 1.03 แสนล้านบาท
     
       นายวิชัย พรพระตั้ง รองประธานธุรกิจองค์กรโทรคมนาคมและไอที บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวถึงภาพรวมตลาดโทรศัพท์มือถือในปีนี้ว่า จะมีสัดส่วนระหว่างสมาร์ทโฟนอยู่ที่ราว 14 ล้านเครื่อง และฟีเจอร์โฟนราว 3 ล้านเครื่อง ส่วนอัตราการเติบโตตลาดสมาร์ทโฟนในแง่ของจำนวนเครื่องจะเติบโตราว 10% และมูลค่าเติบโต 5% ด้วย
     
       “มูลค่าตลาดโทรศัพท์มือถือรวมอยู่ที่ราว 1.03 แสนล้านบาท และเชื่อว่าในปีนี้สัดส่วนตลาดหลักจะลงมาอยู่ในกลุ่มตลาดระดับกลางมากยิ่งขึ้น เพราะผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญต่อสมาร์ทโฟนที่มีประสิทธิภาพ และในขณะเดียวกัน ก็เน้นความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคามากยิ่งขึ้น”
     
       ถ้ามองถึงสถานการณ์ตลาดในปัจจุบัน แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ไม่สงบเกิดขึ้นบ้าง แต่ถ้าเทียบกับช่วงปีที่ผ่านมา ถือว่าปีนี้ดีกว่า ทำให้เชื่อว่าการเติบโตในตลาดโทรศัพท์มือถือที่ขึ้นอยู่กับการมาของเทคโนโลยีน่าจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
     
       “ที่ผ่านมา ซัมซุงเติบโตใกล้เคียงกับตลาด เพราะจากปีที่แล้วเมื่อ 3G ให้บริการครอบคลุมก็มีการเปลี่ยนเครื่องจาก 2G มาใช้งาน 3G กันเยอะ แต่ก็ยังมีแรงซื้อในส่วนนี้เหลืออยู่ ในขณะที่ปีนี้ก็มีโอกาสที่จะเปิดประมูล 4G ก็อาจทำให้ตลาดเติบโตเพิ่มขึ้นไปอีก”
     
       ทั้งนี้ ซัมซุง ยังไม่ได้วางแผนที่จะลงมาทำตลาดสมาร์ทโฟน 4G ในเครื่องระดับราคาต่ำกว่า 1 หมื่นบาท โดยตั้งใจที่จะรอให้เกิดการประมูล 4G ก่อน หลังจากนั้น ถึงจะเริ่มนำเครื่อง 4G ในระดับราคาที่ต่ำกว่าหมื่นบาทเข้ามาทำตลาด เพื่อให้ได้จำนวนการสั่งซื้อที่เพียงพอ และทำราคาได้คุ้มค่าต่อผู้บริโภค
     
       นายสิทธิโชค นพชินบุตร รองประธานฝ่ายกลยุทธ์ ธุรกิจโทรคมนาคมและไอที กล่าวเสริมว่า ในแง่ของการแข่งขันในตลาด ถ้ามองย้อนกลับไปก็จะเห็นแบรนด์จีนเริ่มเข้ามาแข่งขันในด้านราคา แต่เมื่อสุดท้ายก็จะไม่มีใครอยู่รอด ซึ่งที่ผ่านมา ซัมซุงทำได้ค่อนข้างดี ด้วยการไม่เลือกแข่งใน Red Zone แต่มองว่าจะสร้างตลาดอย่างไรมากกว่า
     
       “ในปีนี้ซัมซุงจะมีการปรับเปลี่ยนไลน์อัปของสินค้าให้ตอบกลุ่มการใช้งานของผู้บริโภคมากขึ้น ซึ่งจะเแบ่งเป็นใน Galaxy A สำหรับทำตลาดในระดับราคาสูงกว่า 1 หมื่นบาท ถัดลงมาเป็น Galaxy E ในระดับราคาต่ำกว่าหมื่นบาท และ Galaxy J สำหรับตลาดราคาต่ำกว่า 5 พันบาท ส่วน Galaxy S กับ Galaxy note จะเป็นรุ่นไฮเอนด์ ระดับราคาสูงกว่า 2 หมื่นบาท”
     
       โดยทางซัมซุง มีการเก็บข้อมูลสัดส่วนตลาดสมาร์ทโฟนแบ่งออกเป็น 3 ระดับด้วยกันคือ ต่ำกว่า 3,999 บาท ในปีที่ผ่านมา จะมีสัดส่วนอยู่ราว 13% ถัดมาระดับราคา 4 พัน-1.2 หมื่นบาท มีสัดส่วนราว 43% และระดับราคาสูงกว่า 1.2 หมื่นบาท 44% แต่ในปีนี้ตลาดระดับบนจะลดลงเหลือ 38% และตลาดระดับกลางจะเพิ่มขึ้นเป็น 49% และจะเพิ่มสูงมากขึ้นเป็น 53% ในปี 2016
     
       นายวิชัย กล่าวต่อว่า การมาของ Galaxy A ถือเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของซัมซุงในปีนี้ ที่จะสร้างจุดต่างให้แก่ตลาด จากสมาร์ทโฟนที่ใช้อะลูมิเนียมชิ้นเดียวในระดับราคาหมื่นต้นๆ จึงเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับจากตลาดค่อนข้างดี และถือเป็นหนึ่งใน Game Changer ที่สำคัญของซัมซุง
     
       “สมาร์ทโฟนหน้าจอใหญ่ขนาดมากกว่า 5 นิ้ว ยังคงเป็นตลาดที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน สัดส่วนของอุปกรณ์ที่รองรับ 3G ในตลาดก็มีสัดส่วนแล้วกว่า 67% ส่วนอุปกรณ์ไอทีสวมใส่ได้จะมีปริมาณเข้ามาในตลาดราว 1 ล้านเครื่อง”
     
       นอกจากนี้ ซัมซุง ยังเปิดเผยถึงเทรนด์เทคโนโลยีที่น่าสนใจในปีนี้ว่า จะให้ความสำคัญต่อ Internet of Thing (IOT) มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของสมาร์ทดาต้า (Smart Data) ที่จะเชื่อมต่อข้อมูลเข้าหากัน การมาของอุปกรณ์ไอทีสวมใส่ได้ (Wearable Device) และการเชื่อมต่อของหน้าจอหลายหน้าจอเข้าด้วยกัน (Multi Screen Connectivity)
     
       ขณะที่ในมุมของคอนซูเมอร์เทรนด์ ผู้ใช้เริ่มกังวลถึงความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น (Privacy) ตลาดอุปกรณ์เพื่อเสริมสุขภาพ (Health Monotoring) เริ่มได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการนำโซเชียลมีเดียมาใช้งานเป็นช่องทางการจำหน่ายสินค้า แบบ 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วัน สุดท้ายคือ การมาของคอนเทนต์วิดีโอที่มากยิ่งขึ้นทำให้เกิดการเสพวิดีโอมากขึ้น โดยในปีนี้ซัมซุงได้ตั้งเป้าขยายจำนวนร้านค้าในรูปแบบ SIS (shop-in-shop) หรือร้านค้าย่อยซัมซุงที่อยู่ในพื้นที่ของร้านดีลเลอร์ จากเดิมที่มีอยู่กว่า 300 แห่ง เป็น 500 แห่ง พร้อมวางกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดเต็มรูปแบบ ครอบคลุมทั้งสื่อโฆษณา ประชาสัมพันธ์ สื่อออนไลน์ สื่อในร้านค้า รวมทั้งจับมือกับโอเปอเรเตอร์เพื่อจัดทำโปรโมชัน และแพกเกจพิเศษ รวมถึงการให้ความสำคัญด้านการพัฒนาการให้บริการด้านคอนเทนต์
     
       ล่าสุด ซัมซุงได้ทำการเปิดตัว Galaxy A5 สมาร์ทโฟนหน้าจอ 5 นิ้ว และ Galaxy A7 สมาร์ทโฟนหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ชูความโดดเด่นในเรื่องของดีไซน์ที่เป็นเมทัลยูนิบอดี้ ตัวเครื่องบาง 6.7 มิลลิเมตร และ 6.3 มิลลิเมตร ในระดับราคา 12,900 บาท และ 14,900 บาท


http://manager.co.th/CbizReview/ViewNews.aspx?NewsID=9580000013616

ไม่มีความคิดเห็น:

So Magawn ( รวบรวบประวัติศาสตร์โทรคมนาคมและการสือสารไทย ). ขับเคลื่อนโดย Blogger.